ตอนที่ 2 : บันทึกจากการประชุมเชิงปฏิบัิตการ ถอดบทเรียน พัฒนายุทธศาสตร์ และต่อยอดสมัชชาสุขภาพ (สนับสนุนโดย สช) ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ที่จัดขึ้นที่พิษณุโลก พ.ศ. 2555
เช้าวันที่ ๑๕ กรกฎาคม
เข็มนาฬิกาขยับใกล้เวลา ๙.๐๐ น. ผู้เข้าอบรมโดยเฉพาะผู้ที่คุ้นเคยกับกระบวนการของอาจารย์ชัยวัฒน์เริ่มทยอยเดินเข้าห้องประชุม คนหน้าใหม่จำนวนหนึ่งจึงพลอยรู้สึกว่า ต้องรีบเดินตามเข้ามาด้วย “อาจารย์เคร่งครัดเรื่องการตรงต่อเวลา” หลายคนตระหนักเรื่องนี้ดี โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านการอุ่นหัวใจไปแล้วตั้งแต่เมือคืน
เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องประชุม ภาพที่เห็นเบื้องหน้า ทำให้หลายคนยิ้ม ใจที่เกร็งอยู่คลายออก “โอ้ ดีจังเลย เหมือนห้องนั่งเล่นที่บ้าน” บางคนกล่าว แล้วก็เลือกที่นั่ง เป็นเบาะ ที่วางล้อมวงรอบโต๊ะเตี้ย ๆ ในห้องโล่งกว้าง กำแพงกระจกเปิดรับวิวตัวเมืองพิษณุโลก ท้องฟ้า และแสงแดดตามธรรมชาติให้เข้ามาภายในตัวห้องด้วย แต่ตอนแรก โต๊ะแต่ละตัวยังกระจัดกระจาย ดูห่างกัน อาจารย์จึงบอกให้พวกเราขยับโต๊ะให้ใกล้กันเข้ามา เพื่อรักษาช่องไฟ ความสัมพันธ์ให้รู้สึกใกล้ชิดกันพอดี ๆ
แม้เราจะได้สิทธิในการเลือกที่นั่งตามชอบ แต่ก็มีกติกาบ้าง อาจารย์ชัยวัฒน์ให้ “รุ่นพี่” ซึ่งหมายถึง ผู้ที่ผ่านการอบรมกับอาจารย์ชัยวัฒน์และ คุ้นเคยกับกระบวนการสนทนาพอสมควร ไปนั่งประจำทุกโต๊ะ เพื่อร่วมนำพา และเรียนรู้กับผู้มาใหม่ที่ยังไม่คุ้นกับกระบวนการ เป็นการสร้างบรรยากาศความสัมพันธ์อย่างพี่น้อง ดูแลและเรียนรู้ไปด้วยกัน ส่วนผู้ที่มาจากจังหวัดเดียวกัน หรือคุ้นเคยกันบ้างแล้วก็ให้แยกกันนั่งคนละโต๊ะ เพื่อจะได้เปิดโอกาสให้ตนเองรู้จักเพื่อนใหม่ ข้ามจังหวัดและสายพันธุ์การทำงาน (แบบเครือข่ายข้ามสายงาน bridging network)
เมื่อถึงเวลาอันสมควร อาจารย์เริ่มการประชุมด้วยกิจกรรมสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับการเรียนรู้ และการประชุม นั่นคือ การยกระดับจิตให้มีสติและสมาธิสูงสุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับการเรียนรู้และประชุม
“ก่อนการประชุม เราต้องทำจิตของเราให้มีคุณภาพ ให้มีศักยภาพสูงสุด เพื่อการประชุมที่มีความหมาย คุณภาพของจิตอยู่ที่ความช้า เราต้องทำใจให้ช้าลง เหมือนขนนกที่ค่อย ๆ พริ้วตามลมจนนิ่งสนิทแนบพื้น”
การสนทนา และการดำรงอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องของเทคนิค วิธีการ หรือแม้แต่กระบวนการ หัวใจในการอยู่ด้วยกัน และสนทนา คือ คุณภาพของจิต อย่างที่เราได้สัมผัสกันไปแล้วในภาวะที่นิ่งเงียบร่วมกัน
กระบวนการสำคัญที่อาจารย์ชัยวัฒน์พาทำ คือ ให้ทุกคนผ่อนกายและใจ มีความเงียบทั้งภายในและภายนอก เพื่อเป็นปัจจัยให้เกิดสติและสัมปชัญญะ
พวกเราร่วมทำสมาธิและรักษาความสงบในบรรยากาศการประชุมราว ๕ นาที จากนั้น อาจารย์ชัยวัฒน์แนะนำกระบวนการ “เช็คอิน”
การเช็คอินเป็นกระบวนการที่ชวนให้เราเช็คหัวใจตัวเองว่า เราพร้อมหรือยังสำหรับการเรียนรู้/การประชุมที่กำลังจะเริ่มขึ้น แล้วบอกให้เพื่อนในวงสนทนาได้รับรู้ว่า เราพร้อมเพียงใด เช็คตัวเองว่าเรามาทั้งกายและใจสำหรับการประชุมนี้
กติกาของกระบวนการเช็คอิน คือ ให้ทุกคนรับฟังเวลาที่ผู้อื่นพูด เราจะไม่แย่งหรือขัดคอกัน ส่วนผู้ที่ต้องการจะพูด มีอะไรจะบอกก็ให้หยิบเอาปากกา ซึ่งเราหมายร่วมกันว่า เป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้ที่ถือปากกาเท่านั้นจะมีสิทธิ์พูด ถือปากากตลอดเวลาที่พูด เพื่อเตือนให้เรามีสติรู้ตัวกับการพูดด้วยว่า พูดอะไรอยู่ พูดเพื่ออะไร และพูดโดยให้เวลากับผู้อื่นได้พูดด้วย กระบวนการอย่างนี้มุ่งหวังให้เราทุกคน ไม่ว่าผู้ฟัง และผู้พูด มีสติทั้งการฟังและพูด
เมื่อทุกคนเข้าใจกติกาดีแล้ว รวมทั้งมีรุ่นพี่คอยช่วยพาทำในครั้งแรก อาจารย์ก็ประเดิมโจทย์แรกให้เราสนทนากัน “เรารู้และเห็นกำหนดการประชุมก่อนหรือไม่ เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร กำหนดการมีอะไรชวนคิด และอ่านคำถามที่ให้ไป ๕ ข้อแล้ว รู้สึกอย่างไร”
ในกลุ่มสนทนา หลายคนบอกว่า สะดุดใจกับคำถาม คิดว่าคำถามยากและซับซ้อน ต้องใช้การครุ่นคิดลึก ๆ ต้องทบทวนตัวเอง และต้องสติในการตอบด้วย บางคนจดบันทึกคำตอบที่คิดไว้แล้วล่วงหน้า นอกจากนั้น กำหนดการก็มีส่วนกระตุ้นให้หลายคนสนใจใคร่รู้ เช่น ทฤษฏีใหม่ ๆ หรือหัวข้อ “ผู้นำในโลกอนิจจัง” และ “พลังวิถีแห่งเต๋า”
แม้สำหรับหลายคน การสนทนาในลักษณะนี้จะยังเป็นเรื่องใหม่ แต่เพียงครึ่งวันเช้า ทุกคนก็จูนใจเข้ากับกระบวนการนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทุกคนรักษากติกาการเช็คอินได้เป็นอย่างดี และอาจด้วยเหตุนี้ ที่ทำให้เกิดสนามพลังการสนทนาบางอย่างในห้องประชุมนั้น
ในฐานะของผู้สังเกตและจดบันทึกการเรียนรู้ (ในการอบรม) ข้าพเจ้าถูกฝึกให้ฟังเสียงตัวเอง ฟังเสียงการสนทนาในกลุ่มย่อย และฟังบรรยากาศโดยภาพรวมที่แวดล้อมทั้งหมด
เมื่อข้าพเจ้าถอยมาฟังบรรยากาศการสนทนาของทั้งห้อง ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงพลังความสงบนิ่งบางอย่าง แม้จะมีผู้คนพูดแลกเปลี่ยนตามโจทย์ ในโต๊ะต่าง ๆ ทั้ง ๖ ตัว แต่เสียงคนพูดนั้นไม่ได้ทำลายความสงบงามภายในห้องประชุมเลย สีหน้าของผู้พูด และน้ำเสียงดูมีความตั้งใจ ลุ่มลึก มีสติกับสิ่งที่กำลังพูด ส่วนคนฟังก็ให้ความสนใจ ใส่ใจกับการฟังเต็มที่
หลังจากการสนทนาในกลุ่มย่อย (ทุกครั้ง) อาจารย์ชัยวัฒน์จะให้โจทย์เพื่อยกระดับการครุ่นคิดขึ้นไปอีกขั้น อาจารย์ไม่ถามว่าคุยอะไรกัน ไม่ให้ตัวแทนกลุ่มมานำสรุปการสนทนา แต่คำถามของอาจารย์ชวนให้เราถอยออกมามองเข้าไปในประสบการณ์ที่เพิ่งผ่านไป ครุ่นคิดกับประสบการณ์นั้น ๆ แล้วถอดบทเรียนจากประสบการณ์ เป็นการฝึกให้เราเห็นตัวเองในขณะที่พูดและ “ดำรงอยู่” ในการกระทำต่าง ๆ (คือ มีสติรู้ตัวเสมอ ๆ)
“คำว่า “คิด” “ครุ่นคิด” “ใคร่ครวญ” เหมือนกันหรือไม่” อาจารย์ถาม
ห้องประชุมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หลายเสียงจะประสานขึ้น “ไม่เหมือน”
มีผู้อธิบายว่า ครุ่นคิดและใคร่ครวญเป็นการคิดที่ลึกซึ้ง ละเอียดกว่าการคิด และใช้เวลา เหมือนเป็นการทบทวน ส่วนการคิดนั้น ค่อนข้างมีลักษณะฉาบฉวยและรวดเร็ว
การครุ่นคิดเป็นสิ่งที่อาจารย์ชัยวัฒน์ชวนให้ทำตลอดเวลา นับแต่เริ่มต้นการประชุม ครุ่นคิดกับคำถาม ครุ่นคิดกับสิ่งที่จะพูด และครุ่นคิดกับประสบการณ์ เป็นการยกระดับคุณภาพการคิดการเห็น และการสนทนาให้มีคุณภาพสูงขึ้น
การครุ่นคิดเป็นการที่เราถอยออกมามองกลับเข้าไปในเรื่องราว และประสบการณ์ เห็นให้กว้างและรอบด้าน ลึกและไกล เห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และนี่คือ สิ่งที่เรามักพูดกันเสมอว่า การเห็นภาพใหญ่ และภาพรวม
สำหรับโจทย์แรกที่ให้ครุ่นคิดจากบทเรียนสด ๆ ที่สนทนากัน คือ “บรรยากาศในการสนทนา กระบวนการเช็คอิน บรรยากาศทั้งห้อง ต่างกับการประชุมที่เราคุ้น และเคยทำ ๆ กันมาหรือไม่ ต่างกันตรงไหน”
ผู้เข้าอบรมร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อสังเกตว่า “การนั่งกับพื้น บนเบาะ ไม่เป็นพิธีรีตรอง ทำให้บรรยากาศดูเบา ๆ รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ซึ่งต่างกับการประชุมโดยทั่วไป และที่เพิ่งทำมา เรานั่งประชุมบนเก้าอี้ คนนั่งติด ๆ กัน เป็นแถว มีพิธีการมาก ทำให้อึดอัด ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ นอกจากนั้น การประชุมไม่ออกแบบการสนทนาที่ดีพอ ทุกคนมุ่งนำเสนองานของแต่ละคนว่าทำอะไรกันมาบ้าง ไม่มีคำถามเพื่อการเรียนรู้ หรือชวนให้คิดเชื่อมโยง และเราไม่ได้คิดร่วมกัน เหล่านี้ ทำให้การประชุมน่าเบื่อ ไม่คืบหน้า”
สิ่งที่พวกเราสะท้อนออกมา ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก และความคิดเห็นที่เกิดจากประสบการณ์สด ๆ อาจารย์ชัยวัฒน์สรุปให้เห็นว่า นี่คือ การถอดบทเรียน
“การเรียนรู้ หมายถึง การไม่ทำผิดซ้ำ ไม่ทำแบบเดิม ๆ ที่ไม่นำผลที่ดี เราต้องถอดบทเรียน คือ ถอยมองสิ่งที่เราทำและพูด เห็นจุดอ่อน จับหลักหรือหาแก่นให้ได้ เอาประสบการณ์ ยกเป็นทฤษฏี วิธีการ หลักการ” อาจารย์ชัยวัฒน์กล่าว
หากเราทบทวนคำถามนี้ให้ลึกลงไป (คำถามว่า บรรยากาศในการสนทนา กระบวนการเช็คอิน บรรยากาศทั้งห้อง ต่างกับการประชุมที่เราคุ้น และเคยทำ ๆ กันมาหรือไม่ ต่างกันตรงไหน) เราจะพบว่า อาจารย์ชัยวัฒน์ตั้งใจใช้คำถามนี้ ชี้ให้เราเห็นบริบท และเจตนารมณ์ในการประชุมครั้งนี้ และยังให้โจทย์นี้เป็นบทเรียนแบบอย่าง ให้เราเห็นความหมายและความสำคัญของการเตรียมการประชุมอีกด้วย
——-
ต่อไป ตอนที่ 3 — ความสำเร็จของการประชุม และความสำคัญของ “สมรรถนะในการมีประสบการณ์” ต่อการเรียนรู้และทำงาน